ระหว่างที่นั่งจ้องหน้าจอทำงานไปเรื่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกที่อยู่ตรงหน้ามากัน 4 คน แอบคิดว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังงัยจุดที่คนในครอบครัวมานั่งด้วยกันแต่ไม่คุยกันเลย กลับสนใจแต่โทรศัพท์ที่อยู่ในมือ จริงๆ นะ คือ ไม่คุยกันเลยนั่งจิ้มนั่งกดเครื่องใครเครื่องมัน ผ่านไปกว่า 10 นาทีถึงจะคุยกันคำสองคำแล้วก้มหน้ากันต่อไป แอบคิดต่อว่าคนเราบริโภคเทคโนโลยีกันมากขนาดนี้กันเลยเหรอ พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราในยุค 4.0 เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง แล้วในวันข้างหน้าอีก 5-10 ปี คนเราจะคุยกันด้วยวิธีอะไร หรือไม่คุยกันแค่คิดมองหน้ากันก็สื่อสารกันได้แล้ว คิดเล่นๆ นะว่าถ้าวันนี้ลืมโทรศัพท์หรือลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน เราจะกลับไปเอาอะไร? คำตอบมีอยู่ในใจแล้วแหละ
จะว่าไปแล้วยุคของสังคมก้มหน้า (Social Ignore) ที่หลายคนมองว่ามีผลกระทบในแง่ลบนั้นก็อาจจะไม่เสมอไป ถ้าเราใช้มันให้พอเหมาะพอควร ข้อดีมันมีมากกว่าข้อเสียซะอีก เทคโนโลยีทำให้เราใกล้กันมากขึ้น คนที่เรารักอยู่ไกลกันคนละซีกโลกยังเห็นหน้าก็ได้ง่ายๆ เลย.. อยากรู้เรื่องอะไรที่อยู่รอบตัวเราไม่ว่าจะอยู่หนไหนยังงัยแค่เราจิ้มๆ มันก็จะมาอยู่ในมือเราแล้ว หรือยกตัวอย่างการทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้กับตัวเก็บไว้ในเครื่อง แค่เอาไปฝากไว้กับท้องฟ้าวางไว้บนก้อนเฆมอยากจะใช้เมื่อไหร่จะใช้ผ่าน notebook ผ่านมือถือก็ไปหยิบเอามาได้เลย ข้อดีของเทคโนโลยีมีอีกมากมายหลายอย่างอยู่ที่คนเราจะเลือกใช้กัน ที่สำคัญหากแต่บางคนหลงหรือหลุดเข้าไปยังโลกเสมือนหรือด้านมืดของ Tech แล้ว.. มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหาทางกลับออกมา
สำหรับตัวเองแล้วแม้จะใช้ชีวิตและการทำงานที่ต้องเพิ่งพาเทคโนโลยีตลอดเวลา… ก็จะพยายามแบ่งตัวแยกออกมาให้ตัวเองมีกิจกรรมที่ทำร่างกายบวกสมองบวกใจให้ได้พักได้วางจากความวุ่นวายรอบตัวบ้าง ความเชื่อส่วนตัวคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมายนอกจากคำว่า “ความสุข” หากทำงานแล้วมีความสุขก็ทำต่อ..แต่ถ้าเหนื่อยก็แค่หยุดพักให้หายเหนื่อยแล้วกลับมาลุยต่อ คนเรามันจะอะไรมากมายเมื่อยก็หยุด..เหนื่อยก็พัก ถ้าวันนี้ทำถูก..พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไร สำหรับความสุขที่หมุนอยู่รอบเราก็ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนจะเก็บเอาความสุขนั้นมาไว้กับตัวเองได้อย่างไรและนานเพียงใด อย่าลืมว่าบรรทัดฐานความสุขของแต่ละคนมันต่างกัน
Discussion
No comments yet.